เคยเป็นมั้ยคะเวลาที่เราขึ้นลิฟต์ เครื่องบิน ปีนภูเขาหรือเวลาอยู่ที่สูงๆ มักจะเกิดอาการหูอื้อกันอยู่เสมอ อาการหูอื้อมีสาเหตุเกิดจากอะไร
แล้วจะเป็นอะไรมั้ยนะ มันเป็นอันตรายต่อร่างกายเรารึเปล่า เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคอะไรหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบให้คุณค่ะ ว่าอาการหูอื้อแท้จริงแล้วอันตรายหรือไม่อย่างไร ว่าแล้วก็มาดูกันเลยค่ะ
โดยปกติเวลาที่เราขึ้นที่สูงหรือขึ้นเครื่องบินด้วยความสูงที่เปลี่ยนไป แรงดันอากาศจะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย บางครั้งหากมีการเปลี่ยนแรงดันที่ค่อนข้างเร็ว หูจะปรับได้ช้ากว่าปกติทำให้เกิดอาการหูอื้อ
วิธีการแก้อาการหูอื้อง่ายนิดเดียวคะ เราก็แค่ต้องอาศัยการกลืนน้ำลาย การเป่าปากหรือขยับคอ เพื่อให้อาการหูอื้อดีขึ้นจนกระทั่งหายไป การกลืนน้ำลายหรือการเป่าปากจะทำให้ท่อปรับความดันหูเปิดและก็จะสามารถปรับความดันได้ ทำให้อาการหูอื้อกลับมาเป็นปกติได้นั่นเอง
ถ้าเป็นอาการหูอื้อเป็นแบบชั่วคราว สามารถหายได้โดยการกลืนน้ำลายซึ่งไม่มีอันตรายใดๆ ต้องกังวล เนื่องจากไม่ใช่อาการผิดปกติของร่างกายแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน หากท่านใดรู้สึกว่าตนเองมีอาการหูอื้อเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง อาการหูอื้อนั้นก็อาจบ่งบอกสัญญาณอาการป่วยบางอย่างจากร่างกายได้เช่นเดียวกัน เช่น ถ้าอาการหูอื้อยังคงเป็นอยู่ตลอดนานหลายชั่วโมงหรือหูอื้อเป็นวัน กลืนน้ำลายก็ไม่หาย เป่าปากก็ไม่หาย ทำอย่างไรก็ไม่หายจากอาการหูอื้อสักที
และมีอาการร่วมกับอาการปวดในหูด้วยแล้วละก็ แล้วถ้ายิ่งมีเสียงผิดปกติเกิดขึ้นในหูด้วยแล้ว ชัดเลยค่ะว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นในหูของเราแล้ว อย่างนี้เราควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
เนื่องจากอาการหูอื้อนานๆ แบบนี้ อาจจะเป็นอาการของหูชั้นกลางอักเสบเยื่อแก้วหูผิดปกติ หรือเกิดอาการเส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลันได้ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้น จึงควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อดูอาการเพื่อที่แพทย์จะได้ทำการวินิฉัยและรักษาได้อย่างรวดเร็วอย่างทันท่วงที
สรุปแล้วอาการหูอื้อถ้าเราเกิดอาการหูอื้อแบบชั่วคราวไม่นานเป็นวัน เวลาขึ้นลิฟต์ ขึ้นเครื่องบิน เกิดจากแค่ความดันที่เปลี่ยนไป แค่กลืนน้ำลายหรือเป่าปากก็หายไปได้แล้ว ไม่ใช่อาการผิดปกติของร่างกายหรือหู ไม่มีสิ่งใดเป็นที่น่ากังวลใจ และสามารถทำงานหรือเที่ยวเรียกว่าใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ถ้าอาการหนักเป็นวัน ทำอย่างไรก็ไม่หาย มีเสียงในหู แถมยังปวดหูด้วยไม่ควรละเลยกันเด็ดขาดเพื่อสุขภาพหูที่ดีที่จะได้อยู่กับเราไปนานๆ ยังไงละ
ขอบคุณข้อมูล Organicbook